โชคชะตาหรือว่าบังเอิญ
ทุกครั้งที่เห็นรถเมล์วิ่งผ่านยังอดนึกขำถึงเรื่องราวเก่าๆไม่ได้ จะว่าไปเมื่อปี 2539 ดูเหมือนเพิ่งจะผ่านพ้นจากชีวิตมาไม่นานเท่าไหร่ ตรงกันข้ามเรื่องราวบนรถเมล์ต่างหากล่ะ ที่ยังน่าจดจำมากกว่าไม่น้อย นานๆที่จะได้ทักทายคนที่โดยสารบนรถเมล์โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเป็นเพราะอะไรล่ะที่ทำให้คนเรารู้จักคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้น ถ้าไม่ใช่ความบังเอิญ มาทักทายกับโชคชะตา ได้ถูกที่ถูกเวลา หรือว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
เย็นนี้มีงานสังสรรค์ของคลื่น Smooth 105 F.M. ที่เราเป็นขาประจำปาร์ตี้อยู่เดือนละครั้ง ไม่มีเพื่อนๆไปด้วยเพราะไม่มีใครเค้ามาฮิตฟังคลื่นภาษาอังกฤษเหมือนฉันเลยซักคน ไม่เป็นไรเพื่อนหาเอาข้างหน้าได้เสมอ มาคราวนี้จัดที่แถวๆสุขุมวิท 24 ที่โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค พอใกล้งานเลิกเรารีบเดินออกจากโรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค ออกมาก่อนที่ฝูงชนจะออกมาพร้อมๆกัน เลยเลี่ยงออกมาก่อนคนอื่น วิ่งมาที่ป้ายารถเมล์ที่ใกล้ที่สุดพออกมาข้างนอกถึงรู้ว่ามีฝนตก
ฝนเริ่มซาเม็ดลงเรื่อยๆ ยังดีนะที่โรงแรมอยู่ไม่ไกลจากป้ายรถเมล์เท่าไหร่ ห็นรถปรับอากาศสาย ปอ.11 ปากน้ำ-ปิ่นเกล้ามาพอดี วิ่งขึ้นไปลุ้นๆอยู่เหมือนกันว่าจะมีที่นั่งหรือเปล่า กว่าจะไปถึงบ้านที่ปิ่นเกล้า ถ้าต้องยืนโหนบนรถเมล์ ความไกลของระยะทางจากสุขุมวิท กว่าจะถึงปิ่นเกล้าก็โหดพอดู มองไปด้านหลังเห็นเบาะว่างอยู่ที่หนึ่ง ทางฝั่งขวามือด้านหลัง เมื่อขึ้นรถแล้วเลี้ยวขวา เหลือบมองไปด้านหลังเห็นที่นั่งด้านหลังรถถัดขึ้นมาสองเบาะยังว่างอยู่ ฉันเดินปรี่เข้าไปทางด้านหลังรถ เห็นที่ว่างข้างหน้าต่างรถ ข้างๆกันมีชายหนุ่มใส่แวนตานั่งข้างๆอยู่ พอดูท่าว่าฉันจะเข้าไปนั่งเขาก็กระเถิบไปนั่งผั่งหน้าต่าง เพื่อให้ฉันได้นั่งได้สะดวกขึ้น “ขอบคุณค่ะ” ฉันเอ่ยขึ้นพร้อมผงกให้หัวเล็กน้อยก่อนนั่งลงข้างๆกัน ไม่นานนักเห็นคนนั่งข้างๆขยุกขยิกตัวหาหลบน้ำที่หยดลงมาจากช่องแอร์ข้างบน
คราวนี้ถึงบางอ้อแล้วว่าทำไมไม่มีคนนั่งริมหน้าต่าง ช่องแอร์ รั่วนี่เอง นึกขอบคุณคนข้างๆ พร้อมยื่นกระดาทิชชูให้เขาเช็ดน้ำที่หยดมาเปียกกระเป๋าเอกสารสีน้ำตาลบนตัก “ ขอบคุณครับ” เขาเอ่ยพร้อมรับกระดาษชำระจากมือฉัน พร้อมๆ กับรอยยิ้ม เค้าเริ่มชวนคุยก่อน หลังจากที่นั่งดุเชิงกันพักหนึ่ง “ ทำงานแถวนี้เหรอครับ ” ว้าว..พ่อหนุ่มหน้าตี๋ใส่แว่นตาคนนั่งข้างๆ ทักฉันก่อน คราวนี้ฉันหันไปสบตาพร้อมบอกว่า “เปล่าคะ พอดีนัดเพื่อนไว้แถวนี้ค่ะ ” ไม่รู้ตัวเองว่ามุสาไปวะตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ใครจะไปบอกกันหล่ะว่ามาปาร์ตี้ของคลื่นวิทยุ ในฐานะแฟนคลับน่ะ ไม่ได้หรอกนะเสียหายหมด
พอรถวิ่งไปซักพักเลยรู้ว่า เริ่มเข้าแยกราชประสงค์ เลี้ยวไปทางเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ในขณะนั้น เราเริ่มคุยกันมากขึ้น เลยรู้ว่าเขาทำงานอยู่ที่บ. Nationnal and Panasonic สำนักงานใหญ่อยู่แถวๆบางนา พอดีวันนี้ไปทานข้าวกับผู้ใหญ่ที่เป็นหัวหน้างาน เลยเลิกเย็นกว่าปกติ เสาร์-อาทิตย์จะกลับบ้านที่ปิ่นเกล้าครั้งหนึ่ง เพราะทีพี่สาวและแม่พักอยู่ที่นั่น เพราะที่ทำงานไกลบ้านเลยต่องอยู่หอพักใกล้ๆ ที่ทำงาน “ผมเป็นเด็กทุนมอนบุนโชครับ”พอเริ่มคุ้นเคยเขาเริ่มคุยเรื่องส่วนตัวให้ฟัง“ความจริงตอนสอบเอ็น ทรานท์ผมติดหมอที่ศิริราชได้ พร้อมกับได้ทุนไปปเรียนวิศวะแต่ผมเลือกทุนนี้เพราะ..เป็นทุนรับบาลญี่ปุ่นที่ให้เด็กที่ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นพร้อมออกค่าใช้จ่าย ให้ทั้งหมดกลับมาไม่ต้องใช้ทุน ที่บ้านมีลูกสิบคนผมเป็นคนสุดท้องพ่อแม่ไม่มีทุนมากนักเลยเลือกเรียนทางนี้เรียนวิศวะ “โห..เรียนเก่งใช่ย่อยนะเนี่ย “ฉันได้แต่แอบรำพึงในใจ
พอรู้ว่าจบจากเตรียมอุดมศึกษาที่พญาไท เลยถามว่ารุ่นไหน พอดีน้องชายฉันจบที่นั่นเหมือนกัน พอวักรุ่นกันแล้วเลยรู้ว่า พ่อหนามหน้ามน คนหน้าตี๋ที่ใส่แวนตานั่งข้างฉันคนนี้ละอ่อนกว่าฉันสองปี แต่ก็ทำเฉยๆ ดูมาดนิ่งดีทีเดียว“ ผมไม่ค่อยถือว่าต่างกันเท่าไหร่นะ เพราะมีผมรุ้จักอายุมากกว่าเยอะ ทำงานก้คลุกคลีกับคนอายุมากกว่าทั้งนั้น” ดูซิดูพูดเข้านั้น อยากอาวุโสนักหรือไงกันนะ อีตาคนนี้ แต่ท่าทางรอบรู้ของเขา ดูเป็นคนทะเยอทะยานไม่น้อย คงจะจริงอย่างที่พูด เพราะดูท่าทางมั่นใจตัวเอง และเชื่อมันในความคิดของตัวเองพอควร ฮันแน่..ทำหน้าตายด้วยนะนาย
เวลาที่คุยกัน พอเริ่มคุ้นกันบ้าง แอบสังเกตุดูแววตายาวรีใต้แว่นใสคู่นั้นค่อนข้างทะนงตนพอควร “ที่บ้านมีพี่น้องกี่คน” เขาเริ่มต้นซักประวัติครอบครัวชั้นก่อนตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก ดูท่าทางแล้วก็ดูไม่มีอะไรน่ากลัว เลยคุยได้เรื่อยๆ ตอบคำถามเขาไป “บ้านเราสามคน เราเป็นคนโต น้องสาวหนึ่ง และสุดท้องผู้ชายที่เป็นรุ่นน้องเตรียมของคุณนั่นแหละ บ้านเกิดอยู่ที่นครสวรรค์ พอจบม.ปลายก็มาเรียนต่อกัน ” ไม่พูดเปล่าแอบเหลือบมองหน้าคนฟังไปด้วย ที่กำลังผงกหัวเป็นเชิงรับรู้ “ โห..สมัยนั้นจัดว่าน้อยนะ ที่บ้านผมสิบคน พ่อแม่เป็นคนจีนลูกเยอะ ผมเป็นคนสุดท้อง” ว้าว..ดูหน้าตาซิ ออกตี๋ขนาดไม่ต้องบอกก็ลูกว่ารากเหง้าเหล่าสักหลาดมาจากไหน ฉันแอบรำพึงในใจ “ ที่บ้านบอกแล้วว่าให้เรียนเยอะ ๆ เพราะไม่มีสมบัติอะไรให้ นอกจากให้ความรู้ไม่พูดเปล่ามีเสียงห้วเราะในลำคอ หึ หึ ปนมาด้วย
พอรถเริ่มเลี้ยวขวาเข้าแยกราชประสงค์ เราทั้งคู่เริ่มคุยกันมากขึ้น เมื่อเขาถามเราแล้วเลยคิดว่าควรถามกลับไปบ้างไม่งั้นก็ไม่ได้ข้อมูลแลกเปลี่ยนกัน แล้วดูเป็นคนที่เรียนเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ครอบครัวมีพี่สาวเยอะจัง แล้วก้หยิบนามบัตรมาให้ “ นี่ครับ..ถ้ามีอะไรโทรไปนะ”พอหยิบมาดูแล้วนึกขำอยู่ในใจ มีทั้งวุฒิการศึกษาจบวิศวะอิเลคทรอนิกส์มาจาก มหาวิทยาลัยเกียวโตจริงๆ ด้วยเบอร์โทรที่บ้าน มือถือ มีให้เสร็จสรรพ“ บ้านคุณอยู่ที่ไหนเหรอ ” เราถามเพราะเห็นว่านั่งมานานพอกันเลย ไม่มีทีท่าว่าจะลงรถเลย รถวิ่งมาเกือบสุดสายแล้ว “ผมอยู่หลังเมอรี่คิงส์ปิ่นเกล้า อยู่หมู่บ้านบุษราคัม แล้วคุณล่ะบ้านอยู่ไหนเหรอ “ เราอยู่จรัญฯ 34 ต้องลงป้ายหน้าพาต้าปิ่นเกล้า ก่อนคุณป้ายหนึ่งพอดี ”ความจริงบ้านเราใกล้กันแค่นี้เอง ถ้าว่างๆ วันหลังไปทานข้าวด้วยกันซักมื้อนึงนะ ชวนเพื่อนไปด้วยก็ได้นะ” อุ๊ย..ตายชวนกินข้าวด้วยเว้ย...ฉันแอบลิงโลดในใจ แต่ตัองเก็บอาการ เพราะยังงุน ..งง อยู่ ที่ให้ชวนเพื่อนมาด้วยนี่แหละ มีเสียงโห่..กันขรมเลย พอไปปรึกษาเพื่อนๆ แม่เพื่อนๆของฉันได้แต่ต่อว่ากันสารพัด รุมสรุปว่าฉันไม่ได้เรื่อง เค้าชวนกินข้าวแสดงว่าสนใจเราแล้ว โห..ใครจะไปรู้เล่า ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เพราะเค้าอายุน้อยกว่า 2 ปี แต่ว่าหน้าตาน่ารัก ตรงใจก็เท่านั้นเอง มาเริ่มแปลกๆ ก็ตรงที่ “ แล้วโทรมาคุยกันบ้างนะครับ เออ.นะ ให้แต่เบอร์ให้เราโทรไป ไม่เห็นขอเบอร์เราบ้างเลย อยากคุยด้วยจริงเปล่าก็ไม่รู้
“ถ้าโทรไปที่บ้านก็เบอร์นี้เบอร์ตรงที่ห้องผมเองนะ ไม่อย่างนั้นพี่ต้องเรียกมารับข้างล่าง “เขาพูดขึ้นตอนที่ยื่นนามบัตรมาให้ แหม..มายื่นนามบัตรให้ตอนที่ฉันใกล้จะลงแล้วซิ ป้ายหน้าก็จะถึงพาต้าแล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยเชียวที่นั่งคุยจ้อกับคนที่ไม่รู้จักมักจี่บนรถเมล์นานขนาดนี้ แถมยังคุยกันได้ตลอดทางเสียด้วยซิ ฉันส่งยิ้มให้ เมื่อเค้าบอกให้โทรหา ไม่ได้รับปาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธพอลงรถไปแล้วอดเหลือบมองกลับขึ้นบนรถไม่ได้ว่าคนที่นั่งข้างๆจะมองตาหรือไม่ พอรถเมล์ออกตัว บอกตัวเองให้สลัดภาพคนที่ยิ้มให้บนรถทิ้งไป เขาอาจจะชอบให้โอกาสคนทั่วๆไปแบบนี้ก็ได้ คนที่มีรูปร่าง หน้าตา การศึกษา เป็นทุน อาจให้ความหวังคนที่เจอกันไปเรื่อย ชีวิตดำเนินตามปกติ นำเรื่องไปปรึกษาเพื่อนๆที่ทำงาน เพื่อนๆบอกให้ลองโทรชวนไปทานข้าวกันไม่เคยสนใจ ได้แต่ชวนไปกินข้าวด้วยแถวๆที่ทำงานเขาแทนวะนี่ เออ..ใครจะอุตส่าห์ขับรถไปไกลขนาดนั้น มันอยู่คนละฝั่งกรุงเทพฯเลยก็ว่าได้ วันแล้ววันเล่าไม่มีโอกาสได้เจอกันซักที
ในที่สุดเราก็ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านเพราะทางบ้านให้โอกาสมาทำงานเพื่อหาประสบการณ์ พอถึงเวลาก็ต้องไปช่วยงานเค้าแล้ว ไม่อยากไปเลย เพราะได้มีโอกาสใช้ชีวิตลำพังด้วยตัวเอง หไม่นานนี้เอง หลังจากที่น้องทั้งสองคนต้องเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษ และ สก็อตแลนด์ ชีวิตอิสระที่อยู่คนเดียวก็สบาย วันไหนที่เลิกงานก็ไปทานข้าวกับเพื่อนที่ทำงาน ที่เหลือก็ใช้วันหยุดทำงานบ้าน เก็บกวาด เช็ดถู นานๆก็ชวนเพื่อนสมัยเรียนขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด เลือกที่ใกล้ๆกรุงเทพฯ จะได้กลับมาทำงานสะดวก พอถึงเวลาจริงๆคงเป็นช่วงที่อายุเข้าเลขสามพอดี
วันเกิดปีนั้นเริ่มถามตัวเองแล้วว่า เราควรจะใช้ทุนที่พ่อแม่ส่งเรียนได้แล้ว แต่ยังสนุกกับงานพิเศษ ตอนนั้นมีทั้งสอนพิเศษภาษาอังกฤษน้องๆฉันเอง ตอนสอบเอ็นทรานซ์ด้วยเหมือนกัน งานสอนพิเศษก็เป็นงานพิเศษที่บังเอิญเจอพี่คนหนึ่งที่เคยสอนพิเศษตอนที่น้องฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัย มาเที่ยวบ้านกับนองชาย พอเจอกันเลยชวนให้ไปลองสอนดู พอได้ก็สอนร่วมกับพี่เค้ามาเรื่อย นับว่าเป็นงานอดิเรกที่มีความสุข มากๆงานหนึ่ง แถมรายได้ไม่น้อยเลย มากกว่างานประจำด้วยซ้ำ ผม่คิดว่าจะมาทำงานนี้ด้วยซ้ำเพราะไม่ได้จบมาทางด้านนี้โดยตรง แต่เป็นคนชอบภาษาอังกฤษ และมีหนุ่มตาน้ำข้าวมาจีบพอให้กระชุ่มกระชวย
ยังมีต่อ เขียนโดย KorP@i
พอรถวิ่งไปซักพักเลยรู้ว่า เริ่มเข้าแยกราชประสงค์ เลี้ยวไปทางเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ในขณะนั้น เราเริ่มคุยกันมากขึ้น เลยรู้ว่าเขาทำงานอยู่ที่บ. Nationnal and Panasonic สำนักงานใหญ่อยู่แถวๆบางนา พอดีวันนี้ไปทานข้าวกับผู้ใหญ่ที่เป็นหัวหน้างาน เลยเลิกเย็นกว่าปกติ เสาร์-อาทิตย์จะกลับบ้านที่ปิ่นเกล้าครั้งหนึ่ง เพราะทีพี่สาวและแม่พักอยู่ที่นั่น เพราะที่ทำงานไกลบ้านเลยต่องอยู่หอพักใกล้ๆ ที่ทำงาน “ผมเป็นเด็กทุนมอนบุนโชครับ”พอเริ่มคุ้นเคยเขาเริ่มคุยเรื่องส่วนตัวให้ฟัง“ความจริงตอนสอบเอ็น ทรานท์ผมติดหมอที่ศิริราชได้ พร้อมกับได้ทุนไปปเรียนวิศวะแต่ผมเลือกทุนนี้เพราะ..เป็นทุนรับบาลญี่ปุ่นที่ให้เด็กที่ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นพร้อมออกค่าใช้จ่าย ให้ทั้งหมดกลับมาไม่ต้องใช้ทุน ที่บ้านมีลูกสิบคนผมเป็นคนสุดท้องพ่อแม่ไม่มีทุนมากนักเลยเลือกเรียนทางนี้เรียนวิศวะ “โห..เรียนเก่งใช่ย่อยนะเนี่ย “ฉันได้แต่แอบรำพึงในใจ
พอรู้ว่าจบจากเตรียมอุดมศึกษาที่พญาไท เลยถามว่ารุ่นไหน พอดีน้องชายฉันจบที่นั่นเหมือนกัน พอวักรุ่นกันแล้วเลยรู้ว่า พ่อหนามหน้ามน คนหน้าตี๋ที่ใส่แวนตานั่งข้างฉันคนนี้ละอ่อนกว่าฉันสองปี แต่ก็ทำเฉยๆ ดูมาดนิ่งดีทีเดียว“ ผมไม่ค่อยถือว่าต่างกันเท่าไหร่นะ เพราะมีผมรุ้จักอายุมากกว่าเยอะ ทำงานก้คลุกคลีกับคนอายุมากกว่าทั้งนั้น” ดูซิดูพูดเข้านั้น อยากอาวุโสนักหรือไงกันนะ อีตาคนนี้ แต่ท่าทางรอบรู้ของเขา ดูเป็นคนทะเยอทะยานไม่น้อย คงจะจริงอย่างที่พูด เพราะดูท่าทางมั่นใจตัวเอง และเชื่อมันในความคิดของตัวเองพอควร ฮันแน่..ทำหน้าตายด้วยนะนาย
เวลาที่คุยกัน พอเริ่มคุ้นกันบ้าง แอบสังเกตุดูแววตายาวรีใต้แว่นใสคู่นั้นค่อนข้างทะนงตนพอควร “ที่บ้านมีพี่น้องกี่คน” เขาเริ่มต้นซักประวัติครอบครัวชั้นก่อนตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก ดูท่าทางแล้วก็ดูไม่มีอะไรน่ากลัว เลยคุยได้เรื่อยๆ ตอบคำถามเขาไป “บ้านเราสามคน เราเป็นคนโต น้องสาวหนึ่ง และสุดท้องผู้ชายที่เป็นรุ่นน้องเตรียมของคุณนั่นแหละ บ้านเกิดอยู่ที่นครสวรรค์ พอจบม.ปลายก็มาเรียนต่อกัน ” ไม่พูดเปล่าแอบเหลือบมองหน้าคนฟังไปด้วย ที่กำลังผงกหัวเป็นเชิงรับรู้ “ โห..สมัยนั้นจัดว่าน้อยนะ ที่บ้านผมสิบคน พ่อแม่เป็นคนจีนลูกเยอะ ผมเป็นคนสุดท้อง” ว้าว..ดูหน้าตาซิ ออกตี๋ขนาดไม่ต้องบอกก็ลูกว่ารากเหง้าเหล่าสักหลาดมาจากไหน ฉันแอบรำพึงในใจ “ ที่บ้านบอกแล้วว่าให้เรียนเยอะ ๆ เพราะไม่มีสมบัติอะไรให้ นอกจากให้ความรู้ไม่พูดเปล่ามีเสียงห้วเราะในลำคอ หึ หึ ปนมาด้วย
พอรถเริ่มเลี้ยวขวาเข้าแยกราชประสงค์ เราทั้งคู่เริ่มคุยกันมากขึ้น เมื่อเขาถามเราแล้วเลยคิดว่าควรถามกลับไปบ้างไม่งั้นก็ไม่ได้ข้อมูลแลกเปลี่ยนกัน แล้วดูเป็นคนที่เรียนเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ครอบครัวมีพี่สาวเยอะจัง แล้วก้หยิบนามบัตรมาให้ “ นี่ครับ..ถ้ามีอะไรโทรไปนะ”พอหยิบมาดูแล้วนึกขำอยู่ในใจ มีทั้งวุฒิการศึกษาจบวิศวะอิเลคทรอนิกส์มาจาก มหาวิทยาลัยเกียวโตจริงๆ ด้วยเบอร์โทรที่บ้าน มือถือ มีให้เสร็จสรรพ“ บ้านคุณอยู่ที่ไหนเหรอ ” เราถามเพราะเห็นว่านั่งมานานพอกันเลย ไม่มีทีท่าว่าจะลงรถเลย รถวิ่งมาเกือบสุดสายแล้ว “ผมอยู่หลังเมอรี่คิงส์ปิ่นเกล้า อยู่หมู่บ้านบุษราคัม แล้วคุณล่ะบ้านอยู่ไหนเหรอ “ เราอยู่จรัญฯ 34 ต้องลงป้ายหน้าพาต้าปิ่นเกล้า ก่อนคุณป้ายหนึ่งพอดี ”ความจริงบ้านเราใกล้กันแค่นี้เอง ถ้าว่างๆ วันหลังไปทานข้าวด้วยกันซักมื้อนึงนะ ชวนเพื่อนไปด้วยก็ได้นะ” อุ๊ย..ตายชวนกินข้าวด้วยเว้ย...ฉันแอบลิงโลดในใจ แต่ตัองเก็บอาการ เพราะยังงุน ..งง อยู่ ที่ให้ชวนเพื่อนมาด้วยนี่แหละ มีเสียงโห่..กันขรมเลย พอไปปรึกษาเพื่อนๆ แม่เพื่อนๆของฉันได้แต่ต่อว่ากันสารพัด รุมสรุปว่าฉันไม่ได้เรื่อง เค้าชวนกินข้าวแสดงว่าสนใจเราแล้ว โห..ใครจะไปรู้เล่า ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เพราะเค้าอายุน้อยกว่า 2 ปี แต่ว่าหน้าตาน่ารัก ตรงใจก็เท่านั้นเอง มาเริ่มแปลกๆ ก็ตรงที่ “ แล้วโทรมาคุยกันบ้างนะครับ เออ.นะ ให้แต่เบอร์ให้เราโทรไป ไม่เห็นขอเบอร์เราบ้างเลย อยากคุยด้วยจริงเปล่าก็ไม่รู้
“ถ้าโทรไปที่บ้านก็เบอร์นี้เบอร์ตรงที่ห้องผมเองนะ ไม่อย่างนั้นพี่ต้องเรียกมารับข้างล่าง “เขาพูดขึ้นตอนที่ยื่นนามบัตรมาให้ แหม..มายื่นนามบัตรให้ตอนที่ฉันใกล้จะลงแล้วซิ ป้ายหน้าก็จะถึงพาต้าแล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยเชียวที่นั่งคุยจ้อกับคนที่ไม่รู้จักมักจี่บนรถเมล์นานขนาดนี้ แถมยังคุยกันได้ตลอดทางเสียด้วยซิ ฉันส่งยิ้มให้ เมื่อเค้าบอกให้โทรหา ไม่ได้รับปาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธพอลงรถไปแล้วอดเหลือบมองกลับขึ้นบนรถไม่ได้ว่าคนที่นั่งข้างๆจะมองตาหรือไม่ พอรถเมล์ออกตัว บอกตัวเองให้สลัดภาพคนที่ยิ้มให้บนรถทิ้งไป เขาอาจจะชอบให้โอกาสคนทั่วๆไปแบบนี้ก็ได้ คนที่มีรูปร่าง หน้าตา การศึกษา เป็นทุน อาจให้ความหวังคนที่เจอกันไปเรื่อย ชีวิตดำเนินตามปกติ นำเรื่องไปปรึกษาเพื่อนๆที่ทำงาน เพื่อนๆบอกให้ลองโทรชวนไปทานข้าวกันไม่เคยสนใจ ได้แต่ชวนไปกินข้าวด้วยแถวๆที่ทำงานเขาแทนวะนี่ เออ..ใครจะอุตส่าห์ขับรถไปไกลขนาดนั้น มันอยู่คนละฝั่งกรุงเทพฯเลยก็ว่าได้ วันแล้ววันเล่าไม่มีโอกาสได้เจอกันซักที
ในที่สุดเราก็ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านเพราะทางบ้านให้โอกาสมาทำงานเพื่อหาประสบการณ์ พอถึงเวลาก็ต้องไปช่วยงานเค้าแล้ว ไม่อยากไปเลย เพราะได้มีโอกาสใช้ชีวิตลำพังด้วยตัวเอง หไม่นานนี้เอง หลังจากที่น้องทั้งสองคนต้องเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษ และ สก็อตแลนด์ ชีวิตอิสระที่อยู่คนเดียวก็สบาย วันไหนที่เลิกงานก็ไปทานข้าวกับเพื่อนที่ทำงาน ที่เหลือก็ใช้วันหยุดทำงานบ้าน เก็บกวาด เช็ดถู นานๆก็ชวนเพื่อนสมัยเรียนขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด เลือกที่ใกล้ๆกรุงเทพฯ จะได้กลับมาทำงานสะดวก พอถึงเวลาจริงๆคงเป็นช่วงที่อายุเข้าเลขสามพอดี
วันเกิดปีนั้นเริ่มถามตัวเองแล้วว่า เราควรจะใช้ทุนที่พ่อแม่ส่งเรียนได้แล้ว แต่ยังสนุกกับงานพิเศษ ตอนนั้นมีทั้งสอนพิเศษภาษาอังกฤษน้องๆฉันเอง ตอนสอบเอ็นทรานซ์ด้วยเหมือนกัน งานสอนพิเศษก็เป็นงานพิเศษที่บังเอิญเจอพี่คนหนึ่งที่เคยสอนพิเศษตอนที่น้องฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัย มาเที่ยวบ้านกับนองชาย พอเจอกันเลยชวนให้ไปลองสอนดู พอได้ก็สอนร่วมกับพี่เค้ามาเรื่อย นับว่าเป็นงานอดิเรกที่มีความสุข มากๆงานหนึ่ง แถมรายได้ไม่น้อยเลย มากกว่างานประจำด้วยซ้ำ ผม่คิดว่าจะมาทำงานนี้ด้วยซ้ำเพราะไม่ได้จบมาทางด้านนี้โดยตรง แต่เป็นคนชอบภาษาอังกฤษ และมีหนุ่มตาน้ำข้าวมาจีบพอให้กระชุ่มกระชวย
ยังมีต่อ เขียนโดย KorP@i
Comments
Post a Comment