ต่อจากตอนที่แล้ว
แหม..มายื่นนามบัตรให้ตอนที่ฉันใกล้จะลงแล้วซิ ป้ายหน้าก็จะถึงพาต้าแล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยเชียวที่นั่งคุยจ้อกับคนที่ไม่รู้จักมักจี่บนรถเมล์นานขนาดนี้ แถมยังคุยกันได้ตลอดทางเสียด้วยซิ ฉันส่งยิ้มให้ เมื่อเค้าบอกให้โทรหา ไม่ได้รับปาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธพอลงรถไปแล้วอดเหลือบมองกลับขึ้นบนรถไม่ได้ว่าคนที่นั่งข้างๆจะมองตาหรือไม่ พอรถเมล์ออกตัว บอกตัวเองให้สลัดภาพคนที่ยิ้มให้บนรถทิ้งไป เขาอาจจะชอบให้โอกาสคนทั่วๆไปแบบนี้ก็ได้ คนที่มีรูปร่าง หน้าตา การศึกษา เป็นทุน อาจให้ความหวังคนที่เจอกันไปเรื่อย
ชีวิตดำเนินตามปกติ นำเรื่องไปปรึกษาเพื่อนๆที่ทำงาน เพื่อนๆบอกให้ลองโทรชวนไปทานข้าวกันไม่เคยสนใจ ได้แต่ชวนไปกินข้าวด้วย
แถวๆที่ทำงานเขาแทนวะนี่ เออ..ใครจะอุตส่าห์ขับรถไปไกลขนาดนั้น
มันอยู่คนละฝั่งกรุงเทพฯเลยก็ว่าได้ วันแล้ววันเล่าไม่มีโอกาสได้เจอกันซักที
ในที่สุดเราก็ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านเพราะทางบ้านให้โอกาสมาทำงานเพื่อหาประสบการณ์
พอถึงเวลาก็ต้องไปช่วยงานเค้าแล้ว ไม่อยากไปเลย เพราะได้มีโอกาสใช้ชีวิตลำพังด้วยตัวเอง หไม่นานนี้เอง หลังจากที่น้องทั้งสองคนต้องเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษ และ สก็อตแลนด์ ชีวิตอิสระที่อยู่คนเดียวก็สบาย วันไหนที่เลิกงานก็ไปทานข้าวกับเพื่อนที่ทำงาน ที่เหลือก็ใช้วันหยุดทำงานบ้าน เก็บกวาด เช็ดถู นานๆก็ชวนเพื่อนสมัยเรียนขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด เลือกที่ใกล้ๆกรุงเทพฯ จะได้กลับมาทำงานสะดวก
พอถึงเวลาจริงๆคงเป็นช่วงที่อายุเข้าเลขสามพอดี วันเกิดปีนั้นเริ่มถามตัวเองแล้วว่า เราควรจะใช้ทุนที่พ่อแม่ส่งเรียนได้แล้ว แต่ยังสนุกกับงานพิเศษ ตอนนั้นมีทั้งสอนพิเศษภาษาอังกฤษน้องๆฉันเอง ตอนสอบเอ็นทรานซ์ด้วยเหมือนกัน
งานสอนพิเศษก็เป็นงานพิเศษที่บังเอิญเจอพี่คนหนึ่งที่เคยสอนพิเศษ
ตอนที่น้องฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัย มาเที่ยวบ้านกับนองชาย พอเจอกันเลยชวนให้ไปลองสอนดู พอได้ก็สอนร่วมกับพี่เค้ามาเรื่อย นับว่าเป็นงานอดิเรก
ที่มีความสุข มากๆงานหนึ่ง แถมรายได้ไม่น้อยเลย มากกว่างานประจำด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าจะมาทำงานนี้ด้วยซ้ำเพราะไม่ได้จบมาทางด้านนี้โดยตรง แต่เป็นคนชอบภาษาอังกฤษ และมีหนุ่มตาน้ำข้าวมาจีบพอให้กระชุ่มกระชวย
ไม่นานนักมีเรื่องที่ฉันต้องตัดสินใจ เมื่อวัยเริ่มเข้าสูเลขสาม เลยถามตัวเองว่าควรแล้วหรือยังที่ต้องไปช่วยธุรกิจของพ่อกับแม่จากที่บ้าน
ทั้งสองคนอายุมากขึ้นแล้ว น้องสองคนของเราก็เรียนวิชาชีพกันไปทำงานแบบที่บ้าน
เราก็ไม่สะดวกแล้ว เป็นช่วงที่ลังเลมากๆ เลยในชีวิต
เหมือนถึงจุดเปลี่ยนที่ต้องเลือกและตัดสินใจอีกครั้ง ตอนนั้นยังทำงานอยู่กับ บ.เอกชนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และการดูแลเส้นผม เพราะอยู่ฝ่ายการตลาด
ยังสนุกกับงาน ได้มีโอกาสจัดงานกิจกรรมต่างๆ สำรวจตลาดตามสถานที่ต่างๆ มีเรื่องให้ทำมากมาย ติดต่อกับชาวญี่ปุ่น มีเพื่อนชาวต่างชาติให้ได้สนุกสนานไปเรื่อย พอเลิกงานก็เป็นอิสระอยากไปไหนก็ไป เที่ยวที่ไหนก็จะเลือกพักผ่อนด้วยการขับรถไปแถวๆชานเมืองใกล้กทม.กับเพื่อนสนิทที่เคยเรียนด้วยกัน
ไปเช้ากลับเย็นบ้าง เสาร์-อาทิตย์บ้าง แล้ววันหนึ่งต้องตัดสินใจกลับบ้าน ทั้งๆที่ยังโหยหาวันเวลาเก่าๆอยู่บ้าง แต่ตอนที่เจอเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาจากหลายๆ สถาบัน
เพื่อนๆทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า“นี่..หล่อน ถ้าพ่อชั้นมีกิจการให้ชั้นทำแล้วล่ะก็ ชั้นจะไม่มาเป็นลูกน้องเขาอย่างนี้หรอ
“ณ.เวลานั้นมันรูสึกสับสนเหลือเกิน ถ้ากลับบ้านก็ไม่มีเพื่อนให้คุยกัน ไม่มีอิสระในการนอกดึก นัดเพื่อนๆกินข้าว ไปเที่ยวต่างจังหวัด เติมแบตเตอรี่ในวันว่าง
โห..ไม่มีอิสระแล้วจะหาอะไรมาสนุกได้ คิดๆไปก็นึกเบื่อๆขึ้นมายิ่งมีงานจัดรายการวิทยุสนุกๆ ให้ทำอยู่ด้วยช่วงหนึ่ง กำลังสนุกๆ อยู่เชียว บังเอิญเหลือเกินว่าช่วงนั้นมีนักจัดรายการวิทยุ
ที่มีอายุแล้ว จะมาจัดรายการต่อจากเราในทุกวันเสาร์ตอนสองทุ่มครึ่ง ท่านเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงมาจัดรายการเกี่ยวกับพยากรณ์ชีวิตให้คนฟังต่อจากเรา
ในทกุวันเสาร์-อาทิตย์มีแฟนฟังกันเยอะมาก ใช้โฟนอินเข้ามาให้ผูกดวง เคยเจอกันตอนที่เราเตรียมตัวกลับบ้านเมื่อจัดรายการเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้ให้ท่านเช็คดวงเลย เพื่อนเรามาจัดรายการด้วยเข้าไปทักทายท่าน หลังจากนั้นท่านก็เข้ามาดูดวงให้ น่ารักมาก เพราะท่านเตือนเอาไว้ว่า ถ้าจะผูกดวงไม่ให้ใครมาฟังด้วย ตอนที่ท่านพยากรณ์เราก็จดไว้กันลืม ที่สะดุดใจที่สุดคือท่านบอกว่า “ตามดวงของเรา เกิดมาแล้วไม่ต้องไปหางานทำที่ไหนหรอก เพราะเกิดมามีงานให้ทำอยู่แล้ว แต่เราจะทำมันหรือไม่เท่านั้น ดวงผู้ให้กำเนิดหวังว่าเราจะสานต่องานที่ทำไว้” ว้าว..คำพูดของคุณลุงที่บอกเอาไว้ เหมือนช่วยในการตัดสินใจอยู่บ้าง
แล้วคราวนี้
พอกลับมาบ้านนึกถึงพ่อหนุ่มหน้าตี๋ ที่เคยชวนเราทานข้าว แล้วรู้สึกอยากหาคนคุยด้วยเรื่องกลับบ้าน เลยโทรไปปรึกษาเรื่องนี้ด้วย พอทางโน้นรับสาย ตอนที่ได้ยินเสียงตอบรับมาทำให้แอบยินดีอยู่ลึก ๆ
“อ้าว..ไผ่เองเหรอ..ว่าไงหายไปเลยนะ โห..ฟลุคมากเลย ผมเพิ่งจะกลับบ้านอาทิตย์นี้เอง
ไม่ได้กลับมาหลายอาทิตย์แล้ว ที่บริษัทงานเยอะมากเลยตอนนี้“น้ำเสียงยินดีออกมาจากปลายสายทำให้ใจชื้นขึ้นมานิดนึง ก่อนที่จะเอ่ยปากปรึกษาเรื่องกลับไปช่วยงานที่บ้าน พอได้ฟังเรื่องที่เราบอกไป เสียงปลายสาย เริ่มเข้มทีเดียว “ผมว่าพ่อคุณท่านมีเหตุผลนะที่ให้คุณไปทำงานที่ท่านทำมาตั้งหลายปีแล้ว อย่างน้อย..มันก็มั่นคงกว่างาน
ที่คุณทำอยู่ตอนนี้ ไม่ว่างานบริษัทหรือว่าจัดรายการเพลง “แต่ละคำที่แนะนำมา เหลือร้ายจริงๆเค้าเป็นเด็กว่าเรา 2 ปี แต่ความคิดเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก แล้วอีกอย่างไม่ยอมเรียกเราว่าพี่ ด้วยเหตุผลง่ายๆว่ามีเพื่อนที่อายุมากกว่ากัน ไม่เท่าไหร่ไม่ค่อยเรียกว่าพี่หรอก ตายจริงพ่อคนนี้ อยากแก่นักหรือไง แต่พอฟังเหตุผลเค้าแล้ว
เราก็ยอมรับว่ามันจริงอย่างที่บอกเรามา ชนิดที่เราถียงไม่ออกเลยจริงๆ ให้ตายซิ
“เย็นนี้ไปกินแจ่วฮ้อนกันไหม แถวๆ รัชดา มีร้านที่มุงเพลิงด้วยสังกะสีหลังเล็กหลังหนึ่ง
ทำอร่อยมาก คนกินเยอะสุดๆ ก่อนที่จะเข้าหมู่บ้านกฤษดานคร เสร็จงานแล้วรีบกลับเปล่า “ พี่สาวคนดีที่อยู่แผนกเดียวกันชวนไปเริงร่าวันศุกร์ “ไปซิพี่ ไม่มีอะไรอยู่แล้ว วันนี้สบายอยู่แล้ว” แล้วพี่แกตะโกนเรียกเพื่อนอีกคนไปด้วยกัน
“ เฮ้ย..โจ้..วันนี้ไปสุสานหอย“ ร้านขายอาหารรสแซ่บของพวกเรามีชื่อที่เจ๊แกต้งให้เอง เพราะร้านนี้ไม่มีชื่อ เห็นคนทิ้งเปลือกหอยแครงไว้เต็มพื้นร้าน เลยเป็นที่มาของร้านแจ๋วฮ้อนเจ้าประจำ ที่อยู่ในซอยเดียวกับร้านอาหารใหญ่ๆร้านหนึ่งแถวๆ รัชดา จำชื่อไม่ได้แล้วรู้แต่ว่าคนเยอะอาหารอร่อยถูกปากก็แล้วกัน สังเกตว่าร้านนี้มีรถจอดเยอะกว่าหลายร้านแถวๆนี้ ที่สถานที่สวยหรู มีที่จอดรถให้แต่ไม่มีรถจอดซักเท่าไหร่ “เฮ้ย...นี่ไผ่ลองโทรไปชวนเพื่อนคนที่ชวนไปกินข้าวที่เจอบนรถเมล์มาเจอพวกเราหน่อยซิ วันนี้วันศุกร์”ด้วย” เสียงพี่อ้อยเริ่มส่งคำท้า มาแต่ไกล พอรวมพลเพื่อนๆ ได้แล้ว “จริงด้วย พี่ไผ่ “ คราวนี้ตุ่มเลขาสาวประจำแผนกร่วมด้วยช่วยกันท้าเรา อ๊ะ..อ๊ะ..ท้าได้ที่ไหนกันล่ะ ไม่รอช้าเราคว้าโทรศัพท์โทรไปชวนเลยเหมือนกัน เดี๋ยวจะหาว่าไม่แน่จริง “เอ้อ..เจี๊ยบ... นี่ ..ไผ่เองนะ ศุกร์นี้กลับบ้านหรือเปล่า” “อ้าว..ไผ่เหรอ..ไม่ได้กลับครับงานเยอะมากเลยที่ออฟฟิศ ไม่ได้กลับมาหลายอาทิตย์แล้ว ...ว่าไงเหรอ “ ไม่มีอะไรหรอกเพื่อนๆ ที่ทำงานเราเค้าชวนไปกินข้าวเย็นด้วย แถวๆ รัชดาฯ เลยโทรมาถาม สนมั้ย” แม้นึกอยู่ในใจอยู่แล้วว่า สงสัยคงไม่ไปแน่ ขนาดบ้านยังไม่กลับเลย แต่ก็ลุู้้นอยู่ ก้มีเพื่อนๆที่ทำงานมาท้าให้ชวนอยู่นี่นา
เสียงทางปลายสายชวนพวกเราไปทางโน้นเข้านั่น “ชวนเพื่อนมากินแถวๆ ซีคอน ได้มั้ยครับ พอดีผมมีงาน” แน้..มีการชวนพวกเราไปกินแถวถิ่นพี่แกอีกแน่.. เราต้องรีบบอกว่าทางนี้นักันไว้แล้วว่าแล้วเชียวไม่มา ไม่กล้าล่ะซี่ แน่จริงมาเจอเพื่อนเราดิ.. ได้แต่นึกในใจ แต่ก็บอกไปตามสายว่า “ เออน่ะ ไม่เป็นไร เอาไว้คราวหน้าละกันนะ เส้นทางมันก็ห่างกันมาก คนละฝั่งกันกทม.เลย กว่าจะได้เจอกันก็ยากแล้วหล่ะ ” โห..จะให้ไปแถวที่ทำงานคุณนะเหรอ ไม่มากไปหน่อยเหรอเนี่ย..กว่าจะขับรถไปเพื่อนทานข้าวกับคุณเนี่ยก็มืดพอดี กว่าจะได้เจอกัน หมดวันก่อนจะตะลอนกลับบ้านอีก ..นี่..ฉันต้องตากหน้าไปหาคุณเองเลยเหรอ ไม่เหมาะมั้ง ยังไงก็เป็นผู้หญิงอยู่ดี ถามใจตัวเองดูแล้วไม่ควรไปนะ ถ้าจะเจอกันแถวปิ่นเกล้ายังใกล้บ้านเราทั้งคู่นะ
หลังจากวันที่ชวนเขามาทานข้าวกับเพื่อนๆ แล้ว เราก็ไม่ได้ติดต่อกันแต่อย่างไร ความจริงแล้วถ้าเกิดเค้าต้องการสานต่อความสัมพันธ์ก็น่าจะติดต่อมาเองนะ อ้อ.. ลืมบอกไปว่าพ่อหนุ่มหน้าตี๋รายนี้น่ะชื่อเจี๊ยบ ก็คงเพราะเป็นลูกคนสุดท้องมั้ง ไม่รู้ซิไม่ได้ถาม” ผ่านไปหลายปี จนฉันกลับมาช่วยงานที่บ้านเกิด จู่ๆเจี๊ยบก็โทรมาบอกว่าอยากสอนพิเศษ เพื่อเป็นวิทยาทานบ้าง เพราะกลัวว่าจะลืมสิ่งที่เรียนมา ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่ง เมื่อคนเราพร้อมกับงานที่ทำแล้วอยากจะให้คนอื่นบ้าง เป็นความคิดที่ดีมาก นอกจากมีความสุขแล้ว ยังเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอีก นับว่าเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายในจิตใจมากๆ
เจี๊ยบฝากให้ฉันถามน้องๆ หรือญาติ พี่น้องของฉันที่เรียนอยู่ว่ามีใครอยากเรียนพิเศษพวกฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ให้ช่วยถามให้ด้วย ถ้าใครอยากเรียนก็นัดกันไปเรียน ตามมหาวิทยาลัยต่างๆในเมือง นัดสถานที่กันเลือกเอาที่สะดวกทั้งคนสอน คนเรียนเข้าว่า อาจมีข้อความน่ารักจากฉันส่งไปชวนเขามาดูคอนเสริ์ตบ้าง เมื่อปีที่ผ่านมา ไปดูเฉลียงก็ส่ง SMS ไปชวนเล่นซะงั้น ทางโน้นก็ตอบมาว่าอิจฉาจัง เพราะเค้าต้องทำงานที่ต่างจังหวัด เค้าก็ยังน่ารักใช่ย่อย ดูแล้วคงเป็นเพื่อนกันมากกว่า อย่างน้อยการที่ได้รู้จักเพื่อนมนุษย์ในโลกใบนี้เพิ่มขึ้น
จากวันแรกจนถึงปัจจุบันเรามักจะติดต่อกันทางโทรศัพท์มากกว่า การจะหาเวลาไปเจอกัน แต่ใช่ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้ไม่ใช่หรือ
ไมตรีที่ส่งมาให้จะรับไว้
ไม่ลืมเลือน
ยาวนานยั้งย้ำเตือน
เสมอเหมือนเมื่อวันวาน
พ่อหนุ่มหน้าหยกของฉัน ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้ ยังเป็นชายหนุ่มที่ทะเยอทะยานเช่นเดิมไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทุกวันนี้เขายังคงเป็นผู้ชายที่พยายามทำงานเพื่อหาความมั่นคงให้ชีวิตตัวเอง ทุกครั้งที่เห็นรถเมล์สาย ปอ 11 ผ่านไป ยังจำความรู้สึกที่ดีๆ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม
การเมืองไทยในวันนี้ เรารู้ดีว่าเกิดอะไร เราไม่เคยโกหกตัวเราได้ ตอนนี้คนไทยหันมาฆ่ากันเอง เรายอมรับความจริง การเมืองไม่นิ่งอย่าอ่อนไหว ปัญหามาก็แก้กันไป มองดูภัยที่อยู่ข้างตัว ตอนนี้เหล่าพี่น้องคนไทย จะไปทางไหนต้องระวังตัว เพราะมีตำรวจที่แสนมั่ว ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร เราต้องดูแลตัวเอง ไม่คิดข่มเหงต่อใคร แต่คนที่เห็นหน้ากันไหวๆ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มองไปรอบๆตัวเอง ไม่ได้กลัวเกรงหรือหวั่นไหว แต่ยามนี้บ้านเมืองไม่ปลอดภัย เดี่ยวโดนพวกเสื้อสีควาย ๆ ไว้ใจพวกนั้นได้เมื่อไหร่เล่า อยู่ดีๆมันวิ่งเข้าใส่ไล่ล่า ปาระเบิดตะเพิดเอา ด้วยเจ็บเปล่าง่าย ๆ อาจตายฟรี By Korpai 4/25/10
Pak Karamu reading your blog
ReplyDelete