Skip to main content

:: The Bus Number 11 ::

ต่อจากตอนที่แล้ว แหม..มายื่นนามบัตรให้ตอนที่ฉันใกล้จะลงแล้วซิ ป้ายหน้าก็จะถึงพาต้าแล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยเชียวที่นั่งคุยจ้อกับคนที่ไม่รู้จักมักจี่บนรถเมล์นานขนาดนี้ แถมยังคุยกันได้ตลอดทางเสียด้วยซิ ฉันส่งยิ้มให้ เมื่อเค้าบอกให้โทรหา ไม่ได้รับปาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธพอลงรถไปแล้วอดเหลือบมองกลับขึ้นบนรถไม่ได้ว่าคนที่นั่งข้างๆจะมองตาหรือไม่ พอรถเมล์ออกตัว บอกตัวเองให้สลัดภาพคนที่ยิ้มให้บนรถทิ้งไป เขาอาจจะชอบให้โอกาสคนทั่วๆไปแบบนี้ก็ได้ คนที่มีรูปร่าง หน้าตา การศึกษา เป็นทุน อาจให้ความหวังคนที่เจอกันไปเรื่อย ชีวิตดำเนินตามปกติ นำเรื่องไปปรึกษาเพื่อนๆที่ทำงาน เพื่อนๆบอกให้ลองโทรชวนไปทานข้าวกันไม่เคยสนใจ ได้แต่ชวนไปกินข้าวด้วย แถวๆที่ทำงานเขาแทนวะนี่ เออ..ใครจะอุตส่าห์ขับรถไปไกลขนาดนั้น มันอยู่คนละฝั่งกรุงเทพฯเลยก็ว่าได้ วันแล้ววันเล่าไม่มีโอกาสได้เจอกันซักที ในที่สุดเราก็ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านเพราะทางบ้านให้โอกาสมาทำงานเพื่อหาประสบการณ์ พอถึงเวลาก็ต้องไปช่วยงานเค้าแล้ว ไม่อยากไปเลย เพราะได้มีโอกาสใช้ชีวิตลำพังด้วยตัวเอง หไม่นานนี้เอง หลังจากที่น้องทั้งสองคนต้องเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษ และ สก็อตแลนด์ ชีวิตอิสระที่อยู่คนเดียวก็สบาย วันไหนที่เลิกงานก็ไปทานข้าวกับเพื่อนที่ทำงาน ที่เหลือก็ใช้วันหยุดทำงานบ้าน เก็บกวาด เช็ดถู นานๆก็ชวนเพื่อนสมัยเรียนขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด เลือกที่ใกล้ๆกรุงเทพฯ จะได้กลับมาทำงานสะดวก พอถึงเวลาจริงๆคงเป็นช่วงที่อายุเข้าเลขสามพอดี วันเกิดปีนั้นเริ่มถามตัวเองแล้วว่า เราควรจะใช้ทุนที่พ่อแม่ส่งเรียนได้แล้ว แต่ยังสนุกกับงานพิเศษ ตอนนั้นมีทั้งสอนพิเศษภาษาอังกฤษน้องๆฉันเอง ตอนสอบเอ็นทรานซ์ด้วยเหมือนกัน งานสอนพิเศษก็เป็นงานพิเศษที่บังเอิญเจอพี่คนหนึ่งที่เคยสอนพิเศษ ตอนที่น้องฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัย มาเที่ยวบ้านกับนองชาย พอเจอกันเลยชวนให้ไปลองสอนดู พอได้ก็สอนร่วมกับพี่เค้ามาเรื่อย นับว่าเป็นงานอดิเรก ที่มีความสุข มากๆงานหนึ่ง แถมรายได้ไม่น้อยเลย มากกว่างานประจำด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าจะมาทำงานนี้ด้วยซ้ำเพราะไม่ได้จบมาทางด้านนี้โดยตรง แต่เป็นคนชอบภาษาอังกฤษ และมีหนุ่มตาน้ำข้าวมาจีบพอให้กระชุ่มกระชวย ไม่นานนักมีเรื่องที่ฉันต้องตัดสินใจ เมื่อวัยเริ่มเข้าสูเลขสาม เลยถามตัวเองว่าควรแล้วหรือยังที่ต้องไปช่วยธุรกิจของพ่อกับแม่จากที่บ้าน ทั้งสองคนอายุมากขึ้นแล้ว น้องสองคนของเราก็เรียนวิชาชีพกันไปทำงานแบบที่บ้าน เราก็ไม่สะดวกแล้ว เป็นช่วงที่ลังเลมากๆ เลยในชีวิต เหมือนถึงจุดเปลี่ยนที่ต้องเลือกและตัดสินใจอีกครั้ง ตอนนั้นยังทำงานอยู่กับ บ.เอกชนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และการดูแลเส้นผม เพราะอยู่ฝ่ายการตลาด ยังสนุกกับงาน ได้มีโอกาสจัดงานกิจกรรมต่างๆ สำรวจตลาดตามสถานที่ต่างๆ มีเรื่องให้ทำมากมาย ติดต่อกับชาวญี่ปุ่น มีเพื่อนชาวต่างชาติให้ได้สนุกสนานไปเรื่อย พอเลิกงานก็เป็นอิสระอยากไปไหนก็ไป เที่ยวที่ไหนก็จะเลือกพักผ่อนด้วยการขับรถไปแถวๆชานเมืองใกล้กทม.กับเพื่อนสนิทที่เคยเรียนด้วยกัน ไปเช้ากลับเย็นบ้าง เสาร์-อาทิตย์บ้าง แล้ววันหนึ่งต้องตัดสินใจกลับบ้าน ทั้งๆที่ยังโหยหาวันเวลาเก่าๆอยู่บ้าง แต่ตอนที่เจอเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาจากหลายๆ สถาบัน เพื่อนๆทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า“นี่..หล่อน ถ้าพ่อชั้นมีกิจการให้ชั้นทำแล้วล่ะก็ ชั้นจะไม่มาเป็นลูกน้องเขาอย่างนี้หรอ “ณ.เวลานั้นมันรูสึกสับสนเหลือเกิน ถ้ากลับบ้านก็ไม่มีเพื่อนให้คุยกัน ไม่มีอิสระในการนอกดึก นัดเพื่อนๆกินข้าว ไปเที่ยวต่างจังหวัด เติมแบตเตอรี่ในวันว่าง โห..ไม่มีอิสระแล้วจะหาอะไรมาสนุกได้ คิดๆไปก็นึกเบื่อๆขึ้นมายิ่งมีงานจัดรายการวิทยุสนุกๆ ให้ทำอยู่ด้วยช่วงหนึ่ง กำลังสนุกๆ อยู่เชียว บังเอิญเหลือเกินว่าช่วงนั้นมีนักจัดรายการวิทยุ ที่มีอายุแล้ว จะมาจัดรายการต่อจากเราในทุกวันเสาร์ตอนสองทุ่มครึ่ง ท่านเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงมาจัดรายการเกี่ยวกับพยากรณ์ชีวิตให้คนฟังต่อจากเรา ในทกุวันเสาร์-อาทิตย์มีแฟนฟังกันเยอะมาก ใช้โฟนอินเข้ามาให้ผูกดวง เคยเจอกันตอนที่เราเตรียมตัวกลับบ้านเมื่อจัดรายการเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้ให้ท่านเช็คดวงเลย เพื่อนเรามาจัดรายการด้วยเข้าไปทักทายท่าน หลังจากนั้นท่านก็เข้ามาดูดวงให้ น่ารักมาก เพราะท่านเตือนเอาไว้ว่า ถ้าจะผูกดวงไม่ให้ใครมาฟังด้วย ตอนที่ท่านพยากรณ์เราก็จดไว้กันลืม ที่สะดุดใจที่สุดคือท่านบอกว่า “ตามดวงของเรา เกิดมาแล้วไม่ต้องไปหางานทำที่ไหนหรอก เพราะเกิดมามีงานให้ทำอยู่แล้ว แต่เราจะทำมันหรือไม่เท่านั้น ดวงผู้ให้กำเนิดหวังว่าเราจะสานต่องานที่ทำไว้” ว้าว..คำพูดของคุณลุงที่บอกเอาไว้ เหมือนช่วยในการตัดสินใจอยู่บ้าง แล้วคราวนี้ พอกลับมาบ้านนึกถึงพ่อหนุ่มหน้าตี๋ ที่เคยชวนเราทานข้าว แล้วรู้สึกอยากหาคนคุยด้วยเรื่องกลับบ้าน เลยโทรไปปรึกษาเรื่องนี้ด้วย พอทางโน้นรับสาย ตอนที่ได้ยินเสียงตอบรับมาทำให้แอบยินดีอยู่ลึก ๆ “อ้าว..ไผ่เองเหรอ..ว่าไงหายไปเลยนะ โห..ฟลุคมากเลย ผมเพิ่งจะกลับบ้านอาทิตย์นี้เอง ไม่ได้กลับมาหลายอาทิตย์แล้ว ที่บริษัทงานเยอะมากเลยตอนนี้“น้ำเสียงยินดีออกมาจากปลายสายทำให้ใจชื้นขึ้นมานิดนึง ก่อนที่จะเอ่ยปากปรึกษาเรื่องกลับไปช่วยงานที่บ้าน พอได้ฟังเรื่องที่เราบอกไป เสียงปลายสาย เริ่มเข้มทีเดียว “ผมว่าพ่อคุณท่านมีเหตุผลนะที่ให้คุณไปทำงานที่ท่านทำมาตั้งหลายปีแล้ว อย่างน้อย..มันก็มั่นคงกว่างาน ที่คุณทำอยู่ตอนนี้ ไม่ว่างานบริษัทหรือว่าจัดรายการเพลง “แต่ละคำที่แนะนำมา เหลือร้ายจริงๆเค้าเป็นเด็กว่าเรา 2 ปี แต่ความคิดเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก แล้วอีกอย่างไม่ยอมเรียกเราว่าพี่ ด้วยเหตุผลง่ายๆว่ามีเพื่อนที่อายุมากกว่ากัน ไม่เท่าไหร่ไม่ค่อยเรียกว่าพี่หรอก ตายจริงพ่อคนนี้ อยากแก่นักหรือไง แต่พอฟังเหตุผลเค้าแล้ว เราก็ยอมรับว่ามันจริงอย่างที่บอกเรามา ชนิดที่เราถียงไม่ออกเลยจริงๆ ให้ตายซิ “เย็นนี้ไปกินแจ่วฮ้อนกันไหม แถวๆ รัชดา มีร้านที่มุงเพลิงด้วยสังกะสีหลังเล็กหลังหนึ่ง ทำอร่อยมาก คนกินเยอะสุดๆ ก่อนที่จะเข้าหมู่บ้านกฤษดานคร เสร็จงานแล้วรีบกลับเปล่า “ พี่สาวคนดีที่อยู่แผนกเดียวกันชวนไปเริงร่าวันศุกร์ “ไปซิพี่ ไม่มีอะไรอยู่แล้ว วันนี้สบายอยู่แล้ว” แล้วพี่แกตะโกนเรียกเพื่อนอีกคนไปด้วยกัน “ เฮ้ย..โจ้..วันนี้ไปสุสานหอย“ ร้านขายอาหารรสแซ่บของพวกเรามีชื่อที่เจ๊แกต้งให้เอง เพราะร้านนี้ไม่มีชื่อ เห็นคนทิ้งเปลือกหอยแครงไว้เต็มพื้นร้าน เลยเป็นที่มาของร้านแจ๋วฮ้อนเจ้าประจำ ที่อยู่ในซอยเดียวกับร้านอาหารใหญ่ๆร้านหนึ่งแถวๆ รัชดา จำชื่อไม่ได้แล้วรู้แต่ว่าคนเยอะอาหารอร่อยถูกปากก็แล้วกัน สังเกตว่าร้านนี้มีรถจอดเยอะกว่าหลายร้านแถวๆนี้ ที่สถานที่สวยหรู มีที่จอดรถให้แต่ไม่มีรถจอดซักเท่าไหร่ “เฮ้ย...นี่ไผ่ลองโทรไปชวนเพื่อนคนที่ชวนไปกินข้าวที่เจอบนรถเมล์มาเจอพวกเราหน่อยซิ วันนี้วันศุกร์”ด้วย” เสียงพี่อ้อยเริ่มส่งคำท้า มาแต่ไกล พอรวมพลเพื่อนๆ ได้แล้ว “จริงด้วย พี่ไผ่ “ คราวนี้ตุ่มเลขาสาวประจำแผนกร่วมด้วยช่วยกันท้าเรา อ๊ะ..อ๊ะ..ท้าได้ที่ไหนกันล่ะ ไม่รอช้าเราคว้าโทรศัพท์โทรไปชวนเลยเหมือนกัน เดี๋ยวจะหาว่าไม่แน่จริง “เอ้อ..เจี๊ยบ... นี่ ..ไผ่เองนะ ศุกร์นี้กลับบ้านหรือเปล่า” “อ้าว..ไผ่เหรอ..ไม่ได้กลับครับงานเยอะมากเลยที่ออฟฟิศ ไม่ได้กลับมาหลายอาทิตย์แล้ว ...ว่าไงเหรอ “ ไม่มีอะไรหรอกเพื่อนๆ ที่ทำงานเราเค้าชวนไปกินข้าวเย็นด้วย แถวๆ รัชดาฯ เลยโทรมาถาม สนมั้ย” แม้นึกอยู่ในใจอยู่แล้วว่า สงสัยคงไม่ไปแน่ ขนาดบ้านยังไม่กลับเลย แต่ก็ลุู้้นอยู่ ก้มีเพื่อนๆที่ทำงานมาท้าให้ชวนอยู่นี่นา เสียงทางปลายสายชวนพวกเราไปทางโน้นเข้านั่น “ชวนเพื่อนมากินแถวๆ ซีคอน ได้มั้ยครับ พอดีผมมีงาน” แน้..มีการชวนพวกเราไปกินแถวถิ่นพี่แกอีกแน่.. เราต้องรีบบอกว่าทางนี้นักันไว้แล้วว่าแล้วเชียวไม่มา ไม่กล้าล่ะซี่ แน่จริงมาเจอเพื่อนเราดิ.. ได้แต่นึกในใจ แต่ก็บอกไปตามสายว่า “ เออน่ะ ไม่เป็นไร เอาไว้คราวหน้าละกันนะ เส้นทางมันก็ห่างกันมาก คนละฝั่งกันกทม.เลย กว่าจะได้เจอกันก็ยากแล้วหล่ะ ” โห..จะให้ไปแถวที่ทำงานคุณนะเหรอ ไม่มากไปหน่อยเหรอเนี่ย..กว่าจะขับรถไปเพื่อนทานข้าวกับคุณเนี่ยก็มืดพอดี กว่าจะได้เจอกัน หมดวันก่อนจะตะลอนกลับบ้านอีก ..นี่..ฉันต้องตากหน้าไปหาคุณเองเลยเหรอ ไม่เหมาะมั้ง ยังไงก็เป็นผู้หญิงอยู่ดี ถามใจตัวเองดูแล้วไม่ควรไปนะ ถ้าจะเจอกันแถวปิ่นเกล้ายังใกล้บ้านเราทั้งคู่นะ หลังจากวันที่ชวนเขามาทานข้าวกับเพื่อนๆ แล้ว เราก็ไม่ได้ติดต่อกันแต่อย่างไร ความจริงแล้วถ้าเกิดเค้าต้องการสานต่อความสัมพันธ์ก็น่าจะติดต่อมาเองนะ อ้อ.. ลืมบอกไปว่าพ่อหนุ่มหน้าตี๋รายนี้น่ะชื่อเจี๊ยบ ก็คงเพราะเป็นลูกคนสุดท้องมั้ง ไม่รู้ซิไม่ได้ถาม” ผ่านไปหลายปี จนฉันกลับมาช่วยงานที่บ้านเกิด จู่ๆเจี๊ยบก็โทรมาบอกว่าอยากสอนพิเศษ เพื่อเป็นวิทยาทานบ้าง เพราะกลัวว่าจะลืมสิ่งที่เรียนมา ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่ง เมื่อคนเราพร้อมกับงานที่ทำแล้วอยากจะให้คนอื่นบ้าง เป็นความคิดที่ดีมาก นอกจากมีความสุขแล้ว ยังเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอีก นับว่าเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายในจิตใจมากๆ เจี๊ยบฝากให้ฉันถามน้องๆ หรือญาติ พี่น้องของฉันที่เรียนอยู่ว่ามีใครอยากเรียนพิเศษพวกฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ให้ช่วยถามให้ด้วย ถ้าใครอยากเรียนก็นัดกันไปเรียน ตามมหาวิทยาลัยต่างๆในเมือง นัดสถานที่กันเลือกเอาที่สะดวกทั้งคนสอน คนเรียนเข้าว่า อาจมีข้อความน่ารักจากฉันส่งไปชวนเขามาดูคอนเสริ์ตบ้าง เมื่อปีที่ผ่านมา ไปดูเฉลียงก็ส่ง SMS ไปชวนเล่นซะงั้น ทางโน้นก็ตอบมาว่าอิจฉาจัง เพราะเค้าต้องทำงานที่ต่างจังหวัด เค้าก็ยังน่ารักใช่ย่อย ดูแล้วคงเป็นเพื่อนกันมากกว่า อย่างน้อยการที่ได้รู้จักเพื่อนมนุษย์ในโลกใบนี้เพิ่มขึ้น จากวันแรกจนถึงปัจจุบันเรามักจะติดต่อกันทางโทรศัพท์มากกว่า การจะหาเวลาไปเจอกัน แต่ใช่ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้ไม่ใช่หรือ ไมตรีที่ส่งมาให้จะรับไว้ ไม่ลืมเลือน ยาวนานยั้งย้ำเตือน เสมอเหมือนเมื่อวันวาน พ่อหนุ่มหน้าหยกของฉัน ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้ ยังเป็นชายหนุ่มที่ทะเยอทะยานเช่นเดิมไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทุกวันนี้เขายังคงเป็นผู้ชายที่พยายามทำงานเพื่อหาความมั่นคงให้ชีวิตตัวเอง ทุกครั้งที่เห็นรถเมล์สาย ปอ 11 ผ่านไป ยังจำความรู้สึกที่ดีๆ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม

Comments

Post a Comment

Popular posts from this blog

::.จากใจสู่ใจของคนไทยหนึ่งคน / In The Name Of Thai People ::

การเมืองไทยในวันนี้   เรารู้ดีว่าเกิดอะไร เราไม่เคยโกหกตัวเราได้ ตอนนี้คนไทยหันมาฆ่ากันเอง เรายอมรับความจริง การเมืองไม่นิ่งอย่าอ่อนไหว ปัญหามาก็แก้กันไป มองดูภัยที่อยู่ข้างตัว ตอนนี้เหล่าพี่น้องคนไทย จะไปทางไหนต้องระวังตัว เพราะมีตำรวจที่แสนมั่ว ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร เราต้องดูแลตัวเอง ไม่คิดข่มเหงต่อใคร แต่คนที่เห็นหน้ากันไหวๆ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มองไปรอบๆตัวเอง ไม่ได้กลัวเกรงหรือหวั่นไหว แต่ยามนี้บ้านเมืองไม่ปลอดภัย เดี่ยวโดนพวกเสื้อสีควาย ๆ ไว้ใจพวกนั้นได้เมื่อไหร่เล่า อยู่ดีๆมันวิ่งเข้าใส่ไล่ล่า ปาระเบิดตะเพิดเอา ด้วยเจ็บเปล่าง่าย ๆ อาจตายฟรี By Korpai 4/25/10

:: ส้มหล่นลูกใหญ่ได้ไปเนปาล::

ตอนที่ 1 ตะลุยสุวรรณภูมิ เมื่อมีโอกาสเดินเข้ามาหา จงอย่าได้ปฏิเสธมัน ไม่บ่อยครั้งนักที่จะมีบางสิ่งบางอย่าง วิ่งเข้ามาหาเราโดยที่ไม่ได้ตั้งตัว นั้นแหละคือที่มาของ Trip นี้                                       บังเอิญว่าขายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดได้ยอดขายตามเป้าที่บริษัทแม่กำหนดไว้ที่บ้านเราเป็นผู้แทนจำหน่าย ทำยอดได้เป้าการขายที่ทางบริษัทมีสมนาคุณให้ไปเที่ยวเนปาล อาปากับแม่ไม่ไป             ส้มลูกใหญ่เลยหล่นล่วงลงมาหาป้ากับเราได้พากันเหิรฟ้า ท้าอากาศ หนาวที่เนปาล                         ช่างเป็นทริปที่เหลือเชื่อ ช่วยให้เราได้มีโอกาสประเดิมสนามบินแห่งใหม่ของเมืองไทย เป็นครั้งแรก   พอได้ลุยสนามบินใหม่เห็นสาร...

สงกรานต์บ้านเขาทอง/SongKran Fesival Khaothong Village Phayuhakiri Nakornsawan

สงกรานต์แต่ละปี ในแต่ละที่ของบ้านเรามีกิจกรรมมากมาย ในปีนี้ที่หมู่บ้านเขาทอง เป็นหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่ง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ จัดให้มีกิจกรรม การละเล่น เพื่อให้คนในชุมชนได้มา พบปะสังสรรค์กัน ทั้งในแต่ละครอบครัว และกิจกรรมสนุกๆที่ทางตำบลจัดขึ้น เพื่อให้คนในหมู่บ้านได้ร่วมกิกรรมอย่างสนุกสนาน นั่นคือการละเล่นของเด็กๆที่  เป็นลูกหลาน ได้มาแข่งกีฬาพื้นบ้านแบบไทย บรรยากาศแบบไทยๆที่ยังหาได้ในชนบท เช้าวันสงกรานต์ไม่ได้ไปทำบุญที่ วัดเหมือนใครต่อใครเขาหรอกเพราะ ว่าที่บ้านลูกค้าที่สนิทสนมกับที่บ้านฉันมีงานศพ เป็นคนแก่ที่ป่วยเป็นอัมพาธนอนมาหลายปีแล้ว มีลูกหลานคอยดูแลปรนนิบัติพัดวีอย่างใกล้ชิด ฉันเลยไปช่วยงานตักบาตรที่บ้านลูกค้าตั้งแต่เช้าตรู่วันสงกรานต์      ปีนี้ดูเหมือนอากาศยิ่งร้อนคนเฒ่าคนแก่ มียอดการตายพุ่งมากขึ้น เป็นเหมือนทุกๆปี  พอย่างเข้าหน้าร้อนอย่างนี้ จะมีคนสูงอายุจากไป ราวกับผลไม้ที่สุกงอมล่วงหล่นลงจากต้น เหมือนกับทุกอย่างในโลก ต้องมีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป  ในหมู่บ้านที่ฉันอยู่มีงานกันมากมายทั้งบวชนาค แต่งงาน และงานศพ ก...