Skip to main content

:: ส้มหล่นลูกใหญ่ได้ไปเนปาล::

ตอนที่ 3 : สีสันแห่งชีวิต ตามติดไปช็อปปิ้งที่เมืองธาเมล

ผู้คนที่เห็นข้างหน้าแต่งตัวคล้ายกับที่เราเคยเห็นท่านทาไลลามะเสียจริง กำลังเดินผ่านช้องตรวจคนเข้าเมืองเป็นแถว “ว้าว..จริงด้วยมีพระทิเบตกำลังเข้าแถวต่อจากกลุ่มทัวร์ของเรา” เลยได้เห็นการต้อนรับอาคันตุกะตามแบบฉบับของชาวเนปาลี ถ้าใครตามดูข่าวในพระราชสำนักตอนที่สมเด็จพระเทพฯ ท่านเสด็จเยื่อนละแวกนี้จะมีชาวทิเบตให้การต้อนรับอย่างนี้เช่นกัน เค้าจะมีผ้าสีขาวไว้คล้องคอของแขกผู้มาเยือนก่อนเข้าเมือง

บรรดาพระจีนจากเมืองต่างในแถบเอเชียมีการประชุมกันที่เนปาล เราเพิ่งเห็นป้ายที่แขวนระหว่างทางที่เขียนต้อนรับพระทิเบตเหล่านั้น เดินออกมาจากสนามบินเห็นหนุ่มๆ ที่มีรถไว้บริการผู้โดยสารที่เพิ่งลงจากเครื่องบินต่างเรียกให้ใช้บริการของตนกันด้วยรถคันเล็กสีขาวจอดเรียงกันเต็มสนามบิน ส่วนเราเดินตามขบวนที่มีรถโค้ชคันใหญ่มารับ พอจัดการกับสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นรถเตรียมตัวเดินทางเข้าที่พัก พอขึ้นรถก็มีไกด์ท้องถิ่น ท่าทางแต่ละคนมีลักษณะกรุ้มกริ่ม แววตาเจ้าชู้ หน้าตาคมคาย แบบฉบับคนแขกทั่วๆไปแต่ส่วนใหญ่ผิวสีคล้ำ

ส่วนไกด์ประจำรถเราแนะนำตัวว่าชื่อคีราน จากไกด์ทั้งหมดมีพ่อหนุ่มคีรานคนเดียวที่พูดอังกฤษและญี่ปุ่นได้ พอได้คุยกันเลยรู้ว่าเคยได้ทุนไปเรียนที่ญี่ปุ่นมาด้วย ที่แปลกกว่าคนอื่นคือทุกคนสื่อสารภาษาไทยได้หมด

                                                      ยกเว้นคีราน ฮ่า.ฮ่า..จะถามไกด์ซักทีนึงด้วยใช้อังกฤษกันหล่ะ ฟังดูเท่ห์มั้ยล่ะ รถพาเข้าที่พัก Hyatt Regency Kathmandu เป็นโรงแรมแบบรีสอร์ทใจกลางเมืองกาฐมาณฑุ เอาข้าวของเก็บไว้ก่อนค่อยออกเดินทางต่อไปเมืองท่องเที่ยวกันทันที เริ่มจากทาเมล แหล่งช็อปปิ้งที่เมืองกาฐมัณฑุ คล้ายๆถนนข้าวสารที่กทม.ของเรา แต่ถนนที่คนเดินจะแคบกว่า มีร้านค้าตลอดทางเดิน ทางที่ให้เดินนั้นแคบกว่าที่ข้าวสาร มีรถมอเตอร์ไซค์ และรถเก๋งคันเล็ก วิ่งเข้าออกได้ ถนนไม่ค่อยเท่ากันนักเส้นทางเป็นเนินตลอดทาง

                                                                           แต่ที่น่าชมเชยคืไม่มีการวางของเกะกะหน้าร้านให้เราได้เดินชน ของจะวางไว้ในร้าน ร้านแรกที่แวะเข้าไปดูขายกระเป๋าผ้า มีสินค้าสารพัด ไม่ว่าจะเป็นผ้าคลุมไหล่ ที่เรียกว่า Nepali Pashmina หรือผ้าที่ทำมาจากผ้าวูลหรือแคชเมียร์ มีให้เลือกหลายแบบหลายสี ทั้งมีลวดลายและไม่มีลวดลาย มีทั้งที่เป็นวูล 100% หรือ 70 % ถ้าไม่ผสมอย่างอื่นจะมีราคาแพงทีเดียว เดินด^ไปเรื่อยๆ ยังไม่ตกลงปลงใจว่าจะซื้ออะไรดี เพราะได้ยินมาว่าหากว่าเราต่อรองราคาสินค้าเรียบร้อยแล้วเป็นอันว่าตกลงใจที่จะซื้อแน่ๆ ไม่อย่างนั้นร้านค้าที่เราต่อรองจะเดินตามตื้อจนเราเกิดความรำคาญ

                                                                                       อีกอย่างอย่าลืมว่าการสื่อสารของที่นี่การส่ายหน้าหมายความว่า Yes พยักหน้าแปลว่า No เป็นสิ่งที่ต้องจดจำวัฒนธรรมของถิ่นนี้ไว้ เข้าเมืองตาหลิ่ว (หนุ่มๆชาวเนปาลีนี่เค้าหลิ่วตาให้สาวเก่งชะมัดเลย ใครไม่เชื่อลองมาเที่ยวดูได้เลย ทั้งยักคิ้วหลิ่วตาเลย) แต่เราไม่หลิ่วตาตามหลอก เพราะหลิ่วไม่ไหวพี่ท่านแต่ละคนท่าทางไม่เบากันเลย ที่นี่ให้มีภรรยากันหลายคนด้วยซี

                                                                                                นอกจากหลิ่วแล้วนัยน์ตายังเป็นประกายเจิดจ้าเหมือนกันอีก ร้านค้าต่างๆที่เรียงรายอยู่มักจะมีคนขายเป็นหนุ่มหน้าละอ่อนทั้งนั้น รอบแรกเลยต้องดูสินค้าไว้ก่อน ยังไม่ปักใจชอบอะไรมากนัก ต้องชั่งใจไว้ก่อน เหมือนเช็คราคากันไปก่อน ท่าทีของราคาจะเป็นอย่างไร ไปรีบซื้อรีบต่อไม่ได้ พ่อค้ามักจะบอกผ่านกันทั้งนั้นเลย


                                                     พอๆ กับการไปเที่ยวเสิ่นเจิ้นเลยเชียว เดินเรื่อยเปื่อยจนไปเจอร้านขายเทป ซีดี วีดิโอ ที่เปิดเพลงแนว แนวเดียวกันหมดเลย แค่เดินผ่านแล้วได้ฟังก็ได้ยินบทสวดมนต์สุดแสนจะมีพลังและขลัง เหมือนอยู่ในเมืองทิเบตไม่ปาน “โอ..เนปาลีฮุม..โอ..เนปาลีฮุม” แว่วมาแต่ไกล ตลอดทางที่เดินไปบนถนน ของเมืองธาเมล ในที่สุดก็มาเจอสองหน่ม หนุ่มหนึ่งยังเป็นวัยรุ่น ส่วนอีกหนุ่มบอกว่าเป็นหนุ่มใหญ่ ทั้งคู่บอกเราว่าได้เคยมาเยือนเมืองไทยที่เชียงใหม่แล้วประทับใจมาก ไม่พูดเปล่ามีรูปที่ถ่ายกับบรรดาสาวๆ มาอวดกันยกใหญ่ เราได้อุดหนุนวีซีดี เพลงสวดไป 1 ชุด ราคาที่เหมาะสมที่สุดทั้งคนซื้อคนขาย

                                                 สังเกตคนที่มาอยู่ที่นี่นอกจากจะเป็นแขกผิวเข้มแล้ว มีคนที่หน้าตาออกไปแนวๆจีนทิเบตก็ไม่น้อย ที่เหลือยังมีหน้าตาประมาณกะเหรี่ยง ที่เข้ามาอาศัยในบ้านเราด้วย นับว่ามีหลายชนชาติประกอบกันเยอะไปหมด หากเปรียบเที่ยบกับที่เมืองไทยแล้วถึงจะมีคนยากจนขนาดไหนก็มีขอทานไม่เท่าที่นี่เป็นแน่

                                                     โดยเฉพาะเด็กๆระหว่าวงที่เดินท่องเที่ยวอยู่นั้นจะมีเด็กๆแต่งตัวมอมแมมเดินมาขอสตางค์กันเยอะมาก ถ้าไปให้เข้าหนึ่งคนแล้วเหมือนกับเป็นการเชียร์แขกโดยไม่ได้ตั้งใจ คราวนี้ตื้อจนท่านไม่มีอันได้เดินเที่ยวอย่างสะดวกใจ กลายเป็นสร้างความรำคาญให้มากกว่า เมื่อได้แล้วเค้าจะเดินตามท่านพร้อมกับชวนเพื่อนมาขอเงินท่านอีกเป็นฝูง ต้องฝึกการทำใจแข็งเอาไว้ อย่าไปหลงกลพวกเด็กๆ เหล่านั้น

Comments

Popular posts from this blog

::.จากใจสู่ใจของคนไทยหนึ่งคน / In The Name Of Thai People ::

การเมืองไทยในวันนี้   เรารู้ดีว่าเกิดอะไร เราไม่เคยโกหกตัวเราได้ ตอนนี้คนไทยหันมาฆ่ากันเอง เรายอมรับความจริง การเมืองไม่นิ่งอย่าอ่อนไหว ปัญหามาก็แก้กันไป มองดูภัยที่อยู่ข้างตัว ตอนนี้เหล่าพี่น้องคนไทย จะไปทางไหนต้องระวังตัว เพราะมีตำรวจที่แสนมั่ว ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร เราต้องดูแลตัวเอง ไม่คิดข่มเหงต่อใคร แต่คนที่เห็นหน้ากันไหวๆ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มองไปรอบๆตัวเอง ไม่ได้กลัวเกรงหรือหวั่นไหว แต่ยามนี้บ้านเมืองไม่ปลอดภัย เดี่ยวโดนพวกเสื้อสีควาย ๆ ไว้ใจพวกนั้นได้เมื่อไหร่เล่า อยู่ดีๆมันวิ่งเข้าใส่ไล่ล่า ปาระเบิดตะเพิดเอา ด้วยเจ็บเปล่าง่าย ๆ อาจตายฟรี By Korpai 4/25/10

:: มีอะไรที่ไม่เปลี่ยน/Changing ::

โลกบอกอะไรแก่เราบ้าง หรืออาจลืมอะไรบางอย่างที่วางไว้ บอกเรื่องก้าวหน้าเดินต่อไป เตือนสิ่งดีไว้หันมองคราใดใจยังจำ ลืมคนบางคนบนเวลาที่ว่าเหงา หรือลืมเงาคนเก่าที่เคยหวัง กลับมองสิ่งที่ผ่านเป็นพลัง เติมความหวังไม่ย้อนไปให้ซ้ำเดิม หันมองเวลากลับผ่านเมื่อวันก่อน มีทุกข์ร้อนซ่อนความหวานซ่านปนขม มีเรื่องราวหลายหลากซากระบม มีทั้งเรื่องทั้งโง่บรมขมเหลือใจ อาจหันมองคืนวันเก่าแล้วขบขัน หลายสิ่งที่คิดไปในวันนั้น ตัดสินใจทำไปได้อย่างไรกัน ไม่อาจหันเปลี่ยนใจแล้วไม่มอง วัน เวลา เข็มนาฬิกา แม้ว่าไม่ได้นั่งเฝ้ามองดู ทุกอย่างยังเดินหน้าอยู่ ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูของมัน KorPai 15 ธันวาคม 2555

:: ดอกไม้ไหวในวันเหงา/ Lonely again ::

ฤดูหนาวคราวนี้แสนแห้งแล้ง ใบไม้แห้งปลิดปลิวลิ่วเลือนหาย ลมพัดแรงเร็วถี่ตามลมไป เปรียบหมือนใจใครหลุดลอยไม่คล้อยมา มองไปไหนทำไมหัวใจฝืน เหมือนดั่งล้มทั้งยืนด้วยขื่นขม มองทางไหนไม่มีน้ำร้าวระทม เหมือนลอยลมขว้างใจเธอไม่มา หรือว่าเราปวดร้าวเพราะอากาศ มองฟ้าคล้ายเกรี้ยวกราดรู้สึกเหงา ลมเคยพัดเอื่อยกลับเฉยนิ่งไม่พัดเรา มีเพียงร่มเพียงบังเงาแสนเศร้าใจ ฝากลมบอกใจรักยังรออยู่ ผลัดฤดูใจเปลี่ยนเวียนกลับใหม่ หรือไม่คิดถึงที่เคยรอกันหรือไร ไม่มีเลยน้ำใจไม่กลับมา   รอบๆตัวทุกอย่างยังเงียบสนิท วังเวงยิ่งชีวิตจิตใจเหงา ขมขื่นเพราะคิดถึงเขาหรือเปล่า หรือเพราะหนาวเกินฝืนไม่คืนมา เสียงนกร้องก้องไปดั่งใจเหงา เห็นนกเศร้าตัวเรายิ่งหดหู่ การเปลี่ยนแปลงมีเรื่อยไปแม้ใจรู้ ยังหดหู่เพราะรู้ดีที่เธอไป นับจากวันนี้ไม่มีเขา มีเพียงเงาที่เคยพาดผ่านในฝัน ยังคงเป็นอย่างนี้ทุกวี่วัน อย่าได้ปันเผื่อใจไว้ที่ใครเลย อยู่กับตัวเองได้จะดีกว่า ชีวิตมีคุณค่าเกินเอื้อนเอ่ย บอกกับใจอย่าไปคิดถึงใครเลย อยู่คนเดียวอย่าเปลี่ยวเลยนะหัวใจ อยู่อย่างง่ายแส...